การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM ตอนที่ ๑
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าพิธีรับมอบตำแหน่งประธานอาเซียนปี พ.ศ.๒๕๖๒ ณ ประเทศสิงคโปร์ จากนายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าในปี พ.ศ.๒๕๖๒ ประเทศไทยจะดำรงบทบาทการเป็นประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการใน ๑ ปีข้างหน้านี้ พร้อมกับได้มีการประกาศความคิดสำหรับปีที่ไทยเป็นประธานอาเซียนคือร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน ซึ่งมีองค์ประกอบ ๓ ประการคือ
๑. การก้าวไกล (Advancing) โดยให้อาเซียนมองและก้าวไปด้วยกันสู่อนาคตอย่างมีพลวัต ใช้ประโยชน์ จากวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันควบคู่ ไปกับการสร้างระบบภูมิคุ้มกันจากเทคโนโลยีก้าวกระโดด และความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต
๒. การร่วมมือ ร่วมใจ (Partnership) ผ่านการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียนและกับประเทศ
คู่เจรจาและประชาคมโลก โดยคำนึงถึงความสมดุลและประโยชน์ต่อประชาชน และเพิ่มบทบาทของอาเซียนในเวทีโลก
๓. ความยั่งยืน (Sustainability) ด้วยการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ประกอบด้วย ความมั่นคงที่ยั่งยืน ความยั่งยืนด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับในเรื่องของการเมืองและความมั่นคงนั้น อาเซียนมีเสาหลักด้านประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political Security Community : APSC) ที่รับผิดชอบในการดำเนินบทบาท ทั้งยังมีกลไกสำคัญ ขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันของประเทศสมาชิกคือกระทรวงกลาโหมของแต่ละประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีกลไกสำคัญ
ที่เรียกว่า การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM)
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกันก่อนกว่าอาเซียนหรือ ASEAN คือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ ณ วังสราญรมย์ ในกระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีประเทศสมาชิกเริ่มแรก ๕ ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาได้มีการรับประเทศสมาชิกเพิ่มจนในปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกรวม ๑๐ ประเทศ โดยมีการยึดมั่นบนพื้นฐานของหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกันและการก้าวเดินไปพร้อมๆกัน ด้วยความเสมอภาค จึงนำมาสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ในหลักการการเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งอำนวยประโยชน์ในด้านต่างๆ ต่อประเทศสมาชิกในภูมิภาคเป็นอย่างมาก อาทิ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจที่ก้าวเดินควบคู่ไปกับการดำเนินกิจการด้านความมั่นคง ส่งผลให้บรรยากาศการการค้า การลงทุนในภูมิภาคขยายตัวไปจนเกิดความมีเสถียรภาพตามลำดับ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา ๕๐ ที่ผ่านมา อาเซียนต้องเผชิญภัยคุกคามนานาประการ โดยเฉพาะภัยคุกคามในยุคสงครามเย็นต่อเนื่องมาจนเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่การเผชิญหน้าทางการทหาร แต่เป็นการเผชิญการท้าทายจากภัยร้ายที่เกิดขึ้นภายนอกภูมิภาค แต่แพร่กระจายมาสู่ภูมิภาค พร้อมกับความเจริญก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยีและแนวคิดการทำงานใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ ประกอบด้วย การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเกิดสาธารณภัย และภัยพิบัติ สิ่งเหล่านี้คือความท้าทายที่อาเซียนจะต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ภัยคุกคามนั้นอยู่บนความรับผิดชอบของประเทศใดประเทศหนึ่ง อาจทำให้เกิดความสูญเสียและส่งผลกระทบวงกว้างต่อภูมิภาคได้
เนื่องจากห้วงเวลาที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตกเป็นเป้าหมายการดำเนินยุทธศาสตร์ในยุคสงครามเย็น ทำให้ประเทศสมาชิกต่างต้องดำเนินกิจกรรมการรักษาความมั่นคงทั้งภายในประเทศเอง รวมถึงการรักษาความมั่นคงภายในภูมิภาคเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศตนเอง การดำเนินการจึงมักใช้จะเพิ่มศักยภาพทางการทหารและยุทโธปกรณ์เพื่อการรักษาความมั่นคงของประเทศตนเอง ผลตามมา คือ อาจเกิดความไม่สบายใจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและนำมาสู่ความหวาดระแวงต่อกัน ดังนั้น ผู้นำทางทหารของประเทศสมาชิกจึงได้หามาตรการในการสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน โดยใช้การกีฬาเป็นสื่อกลางในการลดความหวาดระแวงระหว่างกัน จึงได้ตกลงจัดการกีฬาแข่งขันยิงปืนของกองทัพบกประเทศสมาชิกอาเซียน โดยใช้ชื่อว่า การทดสอบยิงปืนทางยุทธวิธีกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียน โดยได้จัดอย่างต่อเนื่องและพัฒนาขึ้นเป็นการพบปะหารือกันของผู้บัญชาการทหารบกของประเทศสมาชิก โดยใช้ชื่อว่า การประชุมผู้บัญชาการทหารบกกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Chief of Armies Multilateral Meeting : ACAMM) และมีการจัดการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดอาเซียนที่เป็นการพัฒนาความร่วมมือทางทหารอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
ต่อมา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๙ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๖ ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศไทยได้เสนอแนวคิดเรื่องการจัดให้มีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’Meeting : ADMM) ต่อที่ประชุมฯ และในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ประชุมได้ให้การรับรองแนวคิดเรื่องการจัดให้มีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) โดยที่การริเริ่มการประชุม ADMM นั้น ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือทางทหารของอาเซียนให้เทียบเท่ากับความร่วมมือในด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจ จึงได้รับการตอบรับอย่างเป็นที่น่าพอใจจากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญของการประชุม ADMM กล่าวคือ
๑) เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคผ่านกลไกการหารือและความร่วมมือด้านความมั่นคง
๒) เพื่อให้คำแนะนำและแนวทางต่อเวทีการหารือและความร่วมมือที่มีอยู่แล้วของเจ้าหน้าที่ระดับสูง ภายในกลุ่มประเทศอาเซียน และระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนกับประเทศอื่นๆ
๓) เพื่อสนับสนุนความไว้วางใจระหว่างกันและสร้างความเชื่อมั่น โดยการสร้างความโปร่งใส และเปิดเผย
ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดและพัฒนาโครงสร้างและกลไกการประชุม ADMM ออกเป็นการประชุม ๒ เวที คือ
เวทีแรก คือ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Senior Officials’ Meeting : ADSOM) ซึ่งเป็นการประชุมของเจ้าหน้าที่อาวุโสในระดับปลัดกระทรวงกลาโหมหรือเทียบเท่า โดยมีหน้าที่หลักคือเตรียมการสำหรับการประชุม ADMM ซึ่งจะพิจารณาความเหมาะสมของหัวข้อการหารือและพิจารณาแก้ไขร่างเอกสารต่างๆ ที่จะให้รัฐมนตรีกลาโหมของประเทศสมาชิกอาเซียนรับรองในระหว่างการประชุม ADMM อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการประชุม ADSOM นั้น จะจัดให้มี การประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน (ADSOM Working Group) เป็นการประชุมคณะทำงานในระดับผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหมหรือผู้แทน เพื่อเตรียมการด้านสารัตถะและธุรการสำหรับการประชุม ADMM และ ADSOM โดยจะร่วมกันกำหนดหัวข้อการหารือ เตรียมการด้านเอกสารที่เกี่ยวกับการประชุมและด้านธุรการอื่นๆ
เวทีที่สอง คือ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน มีโอกาสได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างกัน
สำหรับการประชุม ADMM ครั้งที่ ๑ ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ – ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งประเทศไทยเคยได้จัดการประชุม ADMM มาแล้วหนึ่งครั้ง คือ การประชุม ADMM ครั้งที่ ๓ ในปี ๒๕๕๒ โดยมีกิจกรรมระหว่างวันที่ ๒๕ – ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ณ โรงแรม Royal Cliff Beach Resort เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้น ได้มีการประชุม ADMM อย่างต่อเนื่องอีก ๙ ครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือการประชุมเป็นครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ประเทศสิงคโปร์ และมีการพัฒนาขยายผลการประชุมเพิ่มเติมอีกหนึ่งเวทีคือ การประชุมระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมของประเทศคู่เจรจา หรือ ADMM Plus (ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ และประเทศคู่เจรจา ๘ ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, รัสเซีย และ สหรัฐฯ)
ดังนั้น การประชุม ADMM ในปี พ.ศ.๒๕๖๒ จึงเป็นการประชุม ADMM ครั้งที่ ๑๓ ซึ่งจะเป็นการดำเนินบทบาทของกระทรวงกลาโหมต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นที่เข้าร่วมการเจรจา จึงนำมาสู่การดำเนินบทบาทด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมและการทหารในระดับเวทีสากลที่นำเกียรติภูมิมาสู่ประเทศไทย
สมดังภารกิจที่ประเทศไทยได้รับมอบหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๕๒ กล่าวคือ
“ มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพ
แห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคง
ของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร
การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ ”