เมื่อ 11 มี.ค.62 : 1300 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ อันประกอบด้วย รมช.กห., ปล.กห, ปล.มท., ผล.ตร. และ ลมช. ได้เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อรับทราบรายงานสถานการณ์และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากระเบิดป่วนเมือง โดยกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง ในพื้นที่ จว.สตูล และ พัทลุง ที่ผ่านมา
โดยตรวจความเสียหายและรับฟังสถานการณ์ในพื้นที่ อ.ปากพะยูน จว.พัทลุง ให้ความเชื่อมั่นการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งเป็นกำลังใจกับประชาชน ครูและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ ณ รร.ปากพะยูนพิทยาคาร ต่อจากนั้นได้เดินทางไปดูความเสียหายในพื้นที่ อ.เมือง จว.สตูล และรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาพรวม ณ ศาลากลาง จว.สตูล ซึ่งโดยภาพรวมประชาชนในพื้นที่ จว.ตรังและพัทลุง ร่วมกันสะท้อนถึงความต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและรังเกียจการกระทำที่ป่าเถื่อนใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
สถานการณ์โดยสรุป พบความเคลื่อนไหวการก่อเหตุโดยคาดว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลเป้าหมายในพื้นที่ 3 จชต. ที่ออกไปก่อเหตุนอกพื้นที่ หลังจากฝ่ายความมั่นคงได้ระดมกวาดล้างอิทธิพลจากยาเสพติดและธุรกิจเถื่อนในพื้นที่ 3 จชต. รวมทั้งเปิดปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ป่าภูเขาและตรวจเข้มแนวชายแดนต่อเนื่องที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวแล้ว อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผลเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการเพิ่มเติม
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณและให้กำลังใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ร่วมกันดูแลสถานการณ์ในพื้นที่จนมีพัฒนาการดีขึ้นตามลำดับ โดยขอให้อดทนในการทำงานและใช้ความเมตตากับกลุ่มคนที่ยังเห็นต่างและใช้วิธีการรุนแรงสร้างความเสียหายกับสถานที่ ระบบเศรษฐกิจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ผ่านมา พร้อมกับย้ำให้ตำรวจเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดี นำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และให้ทุกส่วนราชการประสานการทำงานร่วมกับภาคประชาชน และผู้นำในพื้นที่ทุกระดับอย่างใกล้ชิด ร่วมกันเฝ้าระวังและพัฒนาระบบตรวจสอบป้องกันในพื้นที่ ทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมและขยายเครือข่ายงานข่าวภาคประชาชนให้ครอบคลุมการดูแลความปลอดภัยในทุกพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันต้องระวังไม่ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างเงื่อนไขใหม่ พร้อมทั้งให้จับตาและติดตามความเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลและผลประโยชน์เดิมในพื้นที่อย่างใกล้ชิด สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งทางกายภาพและจิตใจของประชาชน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายกับประชาชนในทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขโดยเร็ว