เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๓ ของไทย ประกาศใช้ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ แบ่งอำนาจนิติบัญญัติเป็นสองสภา คือ สภาผู้แทน และพฤฒสภา (ต่อมาคือวุฒิสภา) ประกอบเป็นรัฐสภา
ต่อมาในวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประชุมสภาผู้แทนและพฤฒสภาชุดใหม่ที่เพิ่งพระราชทานไป ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้มีพระราชดำรัสเปิดประชุมว่า
“ท่านสมาชิกพฤฒสภาและสมาชิกสภาผู้แทน
ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมากที่ได้มากระทำพิธีเปิดการประชุมพฤฒสภาและสภาผู้แทนในวันนี้ ซึ่งนับว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติเรา เพราะเป็นการประชุมครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้ประทานให้ใช้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๙
แม้ว่าบัดนี้ประเทศชาติของเราจะผ่านพ้นสถานะสงครามไปแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังจะต้องทำการต่อสู้เพื่อปรับปรุงการเศรษฐกิจและบูรณะประเทศอีกมากหลาย ส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองภายนอกเราจำเป็นต้องปฏิบัติตัวของเราเองให้เขาเห็นว่า เราพร้อมที่จะร่วมมือและส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ และเพื่อธำรงสันติภาพอันสถาพรของโลกสืบไปด้วย
ฉะนั้นข้าพเจ้า จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสมัครสมานสโมสรในสามัคคีธรรมเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของท่าน เพื่อช่วยกันนำความวัฒนาถาวรมาสู่ประเทศชาติ และประคับประคองให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เป็นหลักในการปกครองของเราตลอดไปด้วย
บัดนี้ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิด การประชุมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้กิจการของพฤฒสภาและสภาผู้แทนนี้สัมฤทธิ์ผลเป็นความสุขความเจริญแก่ประชาชนและของชาติสืบไปเทอญ”
นอกจากนี้ ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปยังหัวเมืองนอกกรุงเทพฯ เพื่อจะได้ทรงศึกษาถึงลักษณะการบริหารบ้านเมืองของหน่วยราชการทุกฝ่ายด้วยพระองค์เอง ดังเช่นการใช้อำนาจตุลาการ ได้ปรากฏว่าเสด็จประทับบัลลังก์ ณ ศาลจังหวัดนครปฐมครั้งหนึ่ง และอีกครั้งในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เสด็จประทับบัลลังก์ร่วมพิจารณาคดีลักทรัพย์ ซึ่งจำเลยเป็นหญิงแม่ลูกอ่อน ตามคำฟ้องของพนักงานอัยการปรากฏว่าจำเลยได้ลักทรัพย์ห่วงกุญแจนาคของผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ อ้างว่ากระทำผิดไปเพราะเหตุยากจน ไม่มีทางหาเงินมาเลี้ยงดูบุตร ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๖ เดือน แต่มีพระบรมราชวินิจฉัยตามสำนวนฟ้องและมีพระราชดำรัสว่าโทษจำคุกนั้น ให้เปลี่ยนเป็นการรอลงอาญา เพราะจำเลยไม่เคยต้องโทษและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน
การพิพากษาตัดสินคดีครั้งนั้น ไม่เพียงแต่ยังความปลาบปลื้มแก่หญิงผู้เป็นจำเลยเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงปวงพสกนิกรซี่งมาร่วมฟังการตัดสินคดีกันจนล้นห้องพิจารณา ล้วนแต่ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันเป็นหลักสำคัญนำมาซึ่งความร่มเย็นของบ้านเมืองอย่างแท้จริง
#เฉลิมเกียรติพระบารมี๑๐๐ปีพระอัฐมรามาธิบดินทรราชา
#ยุวกษัตริย์พระผู้อยู่ในใจไทยตลอดกาล
#พระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์ในระบอบประชาธิปไตย