87701

พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมประจำเดือนมีนาคม 2560 ครั้งที่ 3/2560 ว่าการประชุม โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เพื่อแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาทบทวนภารกิจ ที่เกี่ยวข้องโดยรวมกลุ่มลักษณะงานที่เชื่อมโยมและคล้างคลึงกัน เพื่อลดความซับซ้อนและให้เกิดประสิทธิภาพและสนับสนุนที่มากขึ้นและสอดคล้องกับการทำงานของกระทรวงกลาโหม

โดย พลเอก ประวิตร ได้มอบนโยบาย ทั้งเรื่องการสนับสนุนในการสร้างความสามัคคีปรองดอง และขอให้ทุกเหล่าทัพร่วมกันให้ความร่วมมือการทำงานมนทุกกระบวนกันประสานสอดคล้องกัน มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน รวมไปถึง การจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงกลาโหมให้มีความโปร่งใส เนื่องจากกระทรวงกลาโหมเป็นงบประมานที่ได้รับจากภาษีประชาชนจึงจำเป็นต้องใช้งบประมานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน้นย้ำให้หน่วยขึ้นตรงกลาโหมทำวิถีทาง ให้กระบวนการมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยยึดผลประโยชน์ขององค์กรและส่วนรวมเป็นหลัก

พร้อมทั้งเตรียมการรับมือกับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นจากการก่อการร้ายโดยเน้นย้ำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท และให้ความสำคัญกับงานด้านการข่าวมากขึ้น เช่นเดียวกับเครือข่ายภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง

รวมไปถึงการระวังป้องกันเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์ป้องกันเหตุบนท้องถนน โดยให้ดำเนินการทุกมาตรการเพื่อลดการเสียชีวิตของประชาชนและอุบัติเหตุตามอำนาจหน้าที่ ขณะเดียวกันให้อำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนา ให้มีการจัดตั้งจุดอำนวยความสะดวกและจุดซ่อมเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมให้การสนับสนุนแก้ปัญหา ภัยแล้งและไฟป่ารวมกับส่วนราชกาลอื่นๆ และเพิ่มสร้างความมีร่วมส่วนของประชาชนให้มากขึ้นอีกด้วย

พลตรีคงชีพ ยังกล่าวถึงกรณี มีข่าวเรื่องกำลังพลสำรอง ซึ่งพระราชบัญญัติกำลังพลสำรองนั้นเป็นระบบบริหารทรัพยากรณ์ของชาติเพื่อการบริหารประเทศอย่างมั่นคง ยืนยัน พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นสากล ซึ่งเป็นการนำบทบัญญัติในกฎหมายเดิมที่มีอยู่มาปรับปรุงและไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงให้ทันสมัยและเข้าใจง่าย ย้ำการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนในการจัดสรรงบประมานอย่างโปร่งใส และเป็นการปฎิรูปกองทัพ โดยจากกรณีที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่จะมีการเรียกชายไทยอายุ 60 ปี จะต้องเป็นกำลังพลสำรองนั้น ไม่เป็นความจริง

ซึ่งตามข้อเท็จจริงของกฎหมายนั้นทางกองทัพจะทยอยเรียกเฉพาะกำลังพลสำรองที่มีระบุในบัญชีของหน่วยงานและจะต้องมีอายุไม่เกิน 45 ปี โดยคิดเป็นร้อยละ1-2 หรือ ประมาน 7 หมื่นคน โดยจะถูกเรียกตัวเพื่อรับรู้รับทราบหน่วยที่ตนสังกัด นอกจากนี้ยังเปิดให้กำลังพลสำรองที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถสมัครเข้ามารับราชกาลเป็นกำลังพลสำรองได้อีกด้วย เฉลี่ยแล้ว ฝึกไม่เกิน 10 วัน และไม่มีการฝึกต่อเนื่อง ถึง 2 เดือนตามที่เข้าใจแต่อย่างใด และจะได้รับสิทธิของกำลังพลไม่ว่าจะเป็นเบี้ยเลี้ยงเช่นเดียวกับข้าราชการทหารทั่วไป