ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายนของทุกปี ทั่วโลกต่างรำลึกถึงวันสิ้นสุดของมหาสงครามโลกครั้งที่ ๑(พ.ศ. ๒๔๕๗ – ๒๔๖๑) สงครามได้สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงให้แก่มนุษยชาติ สำหรับประเทศไทย(หรือประเทศสยามในขณะนั้น) วันนี้ไม่เพียงแต่เป็นวันสิ้นสุดสงคราม แต่ยังเป็นวันแห่งการจารึกวีรกรรมและ ความเสียสละของ “ทหารอาสาไทย” ที่ได้เดินทางข้ามทวีปไปสู่สมรภูมิยุโรป เพื่อประกาศเกียรติภูมิและปกป้องอธิปไตยของชาติไทย
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ โดยมีชนวนเหตุสำคัญจากการลอบปลงพระชนม์ อาร์ชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย – ฮังการี และพระชายา ณ นครซาราเยโว นำไปสู่การประกาศสงครามที่แบ่งโลกออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี, ออสเตรีย – ฮังการี, บัลแกเรีย, ตุรกี) และฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา และชาติอื่น ๆ) ในช่วงต้นของสงคราม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นพระประมุข ได้ทรงวางตนเป็นกลาง
แต่ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงเล็งเห็นว่าการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรจะเป็นโอกาสสำคัญในการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และยกระดับสถานะของสยามในเวทีโลก จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศสงคราม เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ หลังจากประกาศสงคราม กระทรวงกลาโหมได้เปิดรับทหารอาสาเพื่อไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรปมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน ๑,๒๘๔ นาย จัดตั้งเป็น กองทหารอาสาสยาม (Siamese Expeditionary Forces) โดยมี พันเอก พระยาเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป) เป็นผู้บังคับการกอง จัดแบ่งกำลังออกเป็น ๓ หน่วย คือ กองทหารบกรถยนต์, กองบินทหารบก และหมวดพยาบาล ทหารอาสาสยามต้องเผชิญกับความยากลำบากทั้งการเดินทางที่ยาวนาน สภาพอากาศที่แตกต่าง และความโหดร้ายของสงคราม แต่พวกเขาก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สร้างชื่อเสียงในด้านความมีระเบียบวินัย และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากกองทัพพันธมิตรเป็นอย่างมาก
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลงในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ การตัดสินพระทัยเข้าร่วมสงครามของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยอย่างมหาศาล ประการแรกคือ การได้รับการยอมรับในเวทีโลก โดยสยามได้เข้าร่วมการประชุมสันติภาพ และมีเกียรติเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งนำไปสู่ประโยชน์ประการสำคัญคือการแก้ไขสนธิสัญญาได้สำเร็จ โดยเฉพาะการยกเลิกอำนาจศาลกงสุล ทำให้ชาวต่างชาติที่กระทำผิดในไทยต้องขึ้นศาลไทย และสยามได้รับอิสรภาพในการกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยยังได้มีการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของชาติไทย จากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ด้วยเหตุแห่งเกียรติประวัติและความเสียสละนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ณ บริเวณสนามหลวง เพื่อบรรจุอัฐิของทหารหาญผู้เสียชีวิต จำนวน ๑๙ นาย นอกจากนี้ ยังได้พระราชทานนามถนนทั้ง ๓ สาย คือ ถนนไมตรีจิตต์, ถนนมิตรพันธ์ และถนนสันติภาพ รวมถึง “วงเวียน ๒๒ กรกฎาคม” เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้
ประวัติศาสตร์มีประโยชน์ควรค่าแก่การจดจำ เพื่อช่วยให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในชาติบ้านเมืองของตน ทำให้รู้ถึงความเสียสละของบรรพบุรุษที่ได้ร่วมกันสร้างบ้านเมืองมา รักษาชาติบ้านเมืองไว้ด้วยชีวิต และถึงแม้ทหารอาสาของไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ จะเสียชีวิตไปหมดแล้ว ทุกท่านได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ลูกหลานไทยอย่างมหาศาล แม้การสิ้นสุดสงครามจะผ่านมา ๑๐๗ ปีแล้วก็ตาม แต่ความกล้าหาญ เสียสละ ของเหล่าทหารกล้าทุกท่านจะยังคงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยเสมอโดยไม่มีวันเลือนหายไปตามกาลเวลา
วีรกรรมของทหารไทยที่ไปร่วมรบในครั้งนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของต่างชาติ และยังประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล โดยในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายนของทุกปี ถือเป็น วันระลึกถึงการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ ๑ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ประชาชนรุ่นหลัง ได้รำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของทหารไทยในสมรภูมิต่างแดน องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดจัดพิธีและกิจกรรมต่าง ๆ โดยในวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ จะจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๑ และจัดแสดงวัตถุพิพิธภัณฑ์สงคราม พร้อมจัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เกียรติภูมิของทหารไทย” ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
สำหรับในวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ในช่วงเช้าจะจัดให้มีพิธีวางพวงมาลา เพื่อเป็นการแสดงความรำลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญของทหารอาสาฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์วางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ทหารอาสาฯ บริเวณสนามหลวง นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม มูลนิธิ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย และทายาททหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ร่วมวางพวงมาลา จากนั้นจัดพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ผู้ล่วงลับ นอกจากนี้ ภายในบริเวณงานยังได้มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสงครามโลกครั้งที่ ๑ เพื่อเป็นการให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปและเยาวชนของชาติอีกด้วย