ต่อสู้เพื่ออะไรบางอย่างขณะมีชีวิตดีกว่าตายไปโดยเปล่าประโยชน์

นายพลแพตตันหัวเราะในเรื่องความตายและบรรดากำลังพลก็หัวเราะตามท่าน การพูดกับกำลังพลกระตุ้นให้ทุกคนหัวเราะ แต่ทุกคนก็เข้าใจ และจดจำสิ่งที่ท่านได้กล่าว

“พวกเราเป็นประชาชนที่โชคดี พวกเราอยู่ในสงคราม! พวกเรามีโอกาสที่จะต่อสู้และตายเพื่ออะไรบางอย่าง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแบบนั้น ลองคิดถึงประชาชนที่น่าสงสารพวกนั้นซิ คุณก็จะรู้ว่าพวกเขามีชีวิตและตายไปโดยไม่ได้อะไรเลย ชีวิตทั้งชีวิตไม่ได้ใช้ทำอะไรนอกจากกิน นอน แล้วก็ไปทำงานจนกระทั่งลาโลกไป พวกเรานี่โชคดีริยำเลยที่กำลังจะสู้รบในสงครามซึ่งจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็สามารถเอาเหลนของเรามานั่งที่ตัก และเล่าให้พวกเขาฟังได้ว่าเราทำสำเร็จได้อย่างไร! ถ้าเราตาย เพื่อน ๆ ของเราก็สามารถเล่าได้ว่าเราตายไปเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไร ถ้าคุณกำลังจะตาย จงตายอย่างวีรบุรุษ หากคุณฆ่าคนเป็นจำนวนมากพอก่อนที่คุณจะตายละก็ คนรุ่นหลังอาจตั้งชื่อถนนตามชื่อคุณก็ได้” พวกกำลังพลได้หัวเราะขึ้น ตรรกวิทยาของท่านจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกคนก็จดจำได้ทุก ๆ ถ้อยคำ

นายพลแพตตันไม่เคยพูดแบบทื่อทื่อเช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาทั่ว ๆ ไปเช่น “ถ้าพวกเราเตรียมพร้อมอยู่เสมอเราก็จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ อย่าเปิดโอกาสใด ๆ เราเคยมีชีวิตในลักษณะเช่นนี้มาก่อน และในครั้งนี้เราก็ต้องทำสำเร็จ”

คำพูดเช่นนั้นไม่ใช่แบบของนายพลแพตตันท่านมักให้ข้อเท็จจริงที่หยาบคาย และเหี้ยมโหด

“พวกเราบางคนจะต้องตาย พวกเราทรหดพอที่จะฆ่าข้าศึกได้สักหนึ่งโหลก่อนจะตายไป พวกเราสามารถแน่ใจได้เลยว่า พวกมันไม่สามารถฆ่าเราได้ทุกคน ตราบใดที่พวกเรายังเหลืออยู่ เราจะมุ่งหน้าฆ่าไอ้พวกลูกไม่มีพ่อเหล่านั้นต่อไป โอกาสที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในสงครามนั้น ดีกว่าขณะขับรถอยู่บนถนนหลวง เราอาจตายบนถนนโดยเปล่าประโยชน์ผมอยากให้กระสุนปืนข้าศึกเจาะทะลุหัวผมมากกว่าที่จะให้หัวผมบู้บี้ติดกับกระจกหน้ารถ หากคุณตายในสงคราม เราจะได้รับการระลึกถึงอยู่เสมอ เราไม่ได้เป็นวีรบุรุษ ถ้าตายบนถนน เมื่อเราสามารถจัดการกับชีวิตและความตายได้และไม่กลัวมันแล้ว เราก็สามารถพิชิตทุกสิ่งทุกอย่างลงได้”

ทุกวันนี้ผมเชื่อว่า ใครบางคนอาจพูดว่านายพลแพตตันได้ล้างสมองกำลังพลของท่านถ้าการฝึกอบรมของท่านคือการล้างสมอง ก็ต้องมีคนจำนวนมากแน่ ๆ ที่สามารถนำระบบล้างสมองนี้มาใช้ การช่วยให้ผู้คนเผชิญหน้ากับการมีชีวิตและความตายนั้นเป็นไปตามกฎโดยพื้นฐานแห่งธรรมชาติไม่มีการล้างสมองในคำพูดของนายพลแพตตัน “ทุก ๆ วันของการมีชีวิตก็คือการเข้าใกล้ความตายอีกวันหนึ่ง” นี่คือความจริงที่เยือกเย็นและอำมหิต หลักการของนายพลแพตตันส่วนใหญ่จะเป็นความจริงระดับพื้นฐานที่เยือกเย็นทั้งนั้น นายพลแพตตันเน้นสัจธรรมพื้นฐานแห่งการสงคราม “ถ้าเราไม่ฆ่าข้าศึก ข้าศึกก็จะฆ่าเรา” นี่คือสัจธรรมซึ่งหลาย ๆ คนที่ชอบสอนเรื่องสันติภาพไม่ยอมรับ

บรรดากำลังพลหัวเราะขึ้น เมื่อนายพลแพตตัน กล่าวว่า

“ถ้าคุณเห็นว่าคุณกำลังจะตาย คุณก็ควรจะฆ่าไอ้พวกลูกไม่มีพ่อเหล่านั้นสักโหล ก่อนที่คุณจะตาย”

จังหวะการพูดของท่านสมบูรณ์ที่สุด ท่านกล่าวต่อว่า

“คุณอาจไม่ตาย คุณอาจจะมีเพียงกระสุนสักนัดฝังในร่างกายคุณสักแห่ง แล้วอาจจะทำให้การหมุนเวียนของโลหิตในระบบร่างกายของคุณดีขึ้น! ด้วยวีรกรรมเช่นนั้น คุณอาจได้เหรียญกล้าหาญหัวใจสีม่วง (เพอร์เพิ่ล ฮาร์ท) ถูกยิงสามครั้งคุณก็จะได้สามเหรียญ! เมื่อคุณได้เหรียญพอเพียงแล้ว มันก็จะทำให้คุณแข็งแรงพอที่จะเดินหอบไอ้เจ้าเหรียญพวกนั้นไปไหนต่อไหนได้ไงละ!”

ตอนที่ท่านบรรยายเรื่องนี้ ที่หน้าอกของท่านเต็มไปด้วยเหรียญมากมายที่ท่านได้รับซึ่งก็รวมถึงเหรียญกล้าหาญหัวใจสีม่วง (เพอร์เพิ่ล ฮาร์ท)

“คุณจะตายเพียงหนเดียวเมื่ออยู่ในหน่วยนี้ คนที่ชอบหลีกเลี่ยง และคนที่ขี้ขลาดจะตายเป็นพัน ๆ หนในทุก ๆ วันแห่งการมีชีวิต” ความคิดสุดท้ายนี้ไม่ได้มีบ่อเกิดจากนายพลแพตตัน แต่ท่านก็ได้สนับสนุนความคิดเช่นนี้ด้วยสัจธรรมแท้ที่ดูเยือกเย็นเหลือเกินท่านมักเผชิญหน้ากับความเป็นจริงโดยจับมันเข้ามาชิดจมูก ผมระลึกถึงคำพูดของนายพลแพตตัน ขณะที่ผมกับเพื่อนนักบินขับไล่สกัดกั้นที่ได้รับการฝึกมาใหม่ ๆ จำนวนสิบสองคนอยู่บนรถไฟที่เดินทางจากสนามบิน วิลเลียมส์ฟีลด์ มลรัฐอริโซน่า มุ่งไปยัง ฟลอลิดา พวกเราได้รับคัดเลือกกลั่นกรองอย่างดีเพื่อที่จะเป็นนักบินรุ่นใหม่ ซึ่งหมายถึงนักบินเครื่องบินขับไล่ในเวลากลางคืน ผมเป็นคนอาวุโสที่สุดในจำนวนสิบสองคนนี้ พวกเราได้รับการกลั่นกรองโดยการตรวจสอบสภาพร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการทดสอบสายตาที่จะใช้ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นทีเดียว พวกเราจะต้องใช้เครื่องหาเป้าหมายทางอากาศและบางสิ่งบางอย่างที่ลับมากจนเราไม่มีข้อมูลเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเราทุกคนต่างก็อาสาสมัครเข้าโครงการนี้ การทดสอบบางอย่างไม่เกี่ยวกับสายตา หรือขีดความสามารถทางร่างกายเลย เช่น การให้นั่งในหีบมืด ๆ เพียงคนเดียวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เป็นต้น

แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ก็คือ เราไม่รู้อะไรเลยขณะอยู่บนรถไฟ นักบินหนุ่มคนหนึ่งได้มาหาผมพร้อมด้วยปัญหาเกี่ยวกับกรรมการคัดเลือกทหารส่วนท้องถิ่น ดูเหมือนว่ากรรมการคัดเลือกเขาเข้ารับราชการทหาร! แต่กรรมการคัดเลือกส่วนท้องถิ่นระบุว่าเขามีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะรับราชการทหาร ดังนั้นชายหนุ่มผู้นี้จึงขับรถไปยังอีกรัฐหนึ่งและสมัครเข้าเป็นทหาร พอกรรมการคัดเลือกมีโควตาเหลืออยู่ก็ปรากฏว่ากรรมการของรัฐทั้งสองรัฐก็ต่อสู้กันว่ารัฐใดจะมีสิทธิได้ทหารคนนี้ ขณะที่พวกเราถกเถียงปัญหานี้ ผมก็พบว่า พวกเราทุกคนสามารถรักษาแบบอย่างจากชีวิตรับราชการทหารในเรื่องไร้ความสามารถทางร่างกาย พวกเราหัวเราะในบรรทัดสุดท้ายของแบบฟอร์มตรวจสอบร่างกายซึ่งบรรดานายแพทย์ได้เขียนข้อความต่อท้ายให้พวกเราทุกคนว่า “ปฏิเสธทุกสิ่ง” ในการตอบคำถามที่ถามว่า “ป่วยไข้ หรือไร้สมรรถภาพหรือไม่?”

พวกเราได้สร้างสโลแกนมาหนึ่งประโยคสำหรับกลุ่มของพวกเราว่า “ปฏิเสธทุกสิ่ง” มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับนักบินหนุ่ม ๆ ที่จะถามกันว่า “เฮ้ยเจ้าโง่! แกกำลังจะปฏิเสธทุกสิ่งรึ?” พวกเราหัวเราะที่ได้ตบตาพวกนายแพทย์ ทุกวันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราได้หลอกพวกนายแพทย์จริง ๆ หรือพวกนายแพทย์ทราบว่าพวกเรากำลังจะพบกับความลำบากในภารกิจที่ไม่รู้จักมาก่อน พวกเขาทราบว่าพวกเขาต้องคัดเลือกนักบินผู้ซึ่งต้องการต่อสู้เพื่ออะไรบางสิ่งบางอย่าง

 

  • พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา