“ลูกเรือเก้าคนของเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดสี่เครื่องยนต์แบบ B-24 ต้องตรากตรำต่อสภาพแวดล้อมที่มหาโหด ท่ามกลางทะเลทรายซาฮารา ในขณะที่พวกเขามีน้ำและอาหารอย่างจำกัด และไร้ที่ซึ่งจะพักพิง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ต้องฝังร่างไว้ใต้ผืนทรายนรก เมื่อพวกเขาพยายามที่หลบหนีให้พ้นจากสภาพที่แสนเลวร้ายอันนั้น”
ในปี ๑๙๕๘ ปมปริศนาหลายเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้เริ่มถูกสืบเสาะหาข้อเท็จจริงหรือหาวีรบุรุษสงครามที่สาบสูญซึ่ง B-24 : Lady be Good ก็คือเป้าหมายของหนึ่งในอีกหลายเรื่อง ของนักล่าเงื่อนงำสงครามและนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษอย่างRonald G.Maclean of D’Arcy Exploration Co. ทีมสำรวจชุดนี้บินบุกเข้าไปสำรวจเหนือทะเลทรายซาฮาราในแผ่นดินของลิเบียด้วยเครื่อง DC-3 จุดที่พวกเขาเดินทางเข้าไปอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ของ Benghazi ๔๔๐ ไมล์ และอยู่ห่างจากชายแดนอียิปต์ ๕๙ ไมล์ ด้วยความคาดหวังว่า จะสามารถสังเกตร่องรอยบนผืนทรายของ B-24 ที่อาจนอนนิ่งภายใต้การทับถมของกองทรายที่ร้อนระอุ อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
Lady be Good ประจำการที่ฐานบินที่สร้างอย่างเร่งรีบกลางทะเลทรายในเขต Soluch, Libya ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Benghazi ๓๔ ไมล์ ได้หายไปในการปฏิบัติการครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ของลูกเรือจำนวนเก้าชีวิต เมื่อ ๔ เมษายน ๑๙๔๓ คืนแห่งการพลัดพรากของพวกเขา เต็มไปด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง พวกเขาสูญเสียการนำร่องที่ถูกต้อง หาทิศทางกลับฐานบินไม่ได้ และต้องบินอย่างเลื่อนลอยแต่ก็มีความหวัง พวกเขาบินลึกเข้าไปในซาฮาราถึงสองชั่วโมง
ทีมสำรวจทางอากาศชาวอังกฤษ ได้พบซากเครื่องบิน B-24 เมื่อ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๑๙๕๙ ภายหลังจากที่ทุ่มเทการค้นหานานกว่าเก้าเดือน และได้แจ้งข่าวนี้แก่ US Air Force’s Wheelus AB, Libya หลังจากนั้นนักธรณีวิทยาสามนายของ D’Arcy Exploration Co. ได้เดินทางไปยังจุดหมาย ซึ่งปรากฏว่า B-24 อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดคะเนของทีมสำรวจ
ในปีเดียวกันนั้น ตลอดช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง เจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศและกองทัพบกสหรัฐฯ ได้ระดมกันตะลุยค้นหาร่างของลูกเรือทั้งเก้าคน ในขณะที่ผลการสำรวจซากเครื่องบินนั้น มีความเป็นไปได้ว่า B-24 ได้ร่อนลงกระแทกทุ่งแผ่นพื้นทรายกรวดบริเวณที่เรียกกันว่า “Sand Sea of Calansio” เมื่อน้ำมันใกล้จะหมด เครื่องยนต์สามเครื่องดับไปแล้ว โดยทราบได้จากตำแหน่งมุมของใบพัดที่อยู่ในตำแหน่ง “Feather” อันเกิดจากการตั้งใจทำของนักบิน เพื่อไม่ให้มุมใบพัดสร้างแรงต้านต่อการร่อนของเครื่องบิน ส่วนเครื่องยนต์ที่สี่ยังทำงานอยู่ เมื่อนักบินปรับท่าทางการบินที่สมดุลด้วยตัวมันเอง (Trimming) แล้ว ลูกเรือทั้งหมดได้โดดร่มสละเครื่องบินของพวกเขาB-24 ที่ไร้นักบินและลูกเรือ แต่มีการถูกปรับการบินให้รักษาระดับด้วยตัวมันเองเป็นอย่างยอดเยี่ยมแล้ว ได้ร่อนลงและกระแทกพื้นค่อนข้างรุนแรงก่อนที่จะสงบนิ่งในสภาพที่เกือบจะได้ระดับและไม่มีการระเบิด
การค้นหาศพของลูกเรือ B-24 นั้น พวกเขาใช้ความสามารถและพยายามเป็นอย่างมากท่ามกลางความโหดร้ายของทะเลทราย ที่กลางวันอุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงถึง ๑๓๐ องศาฟาเรนไฮต์และดิ่งลงอย่างน่ากลัวถึงจุดที่หนาวเหน็บและเยือกแข็งในตอนกลางคืน พื้นที่ในการค้นหานั้นครอบคลุมพื้นที่กว่า ๔๕๐ ตารางไมล์ แต่แล้วเค้ารางแห่งความสำเร็จในการค้นหาก็ปรากฏขึ้น ในวันที่ ๑๖ มิถุนายน เมื่อพวกเขาพบรองเท้าที่เป็นของผู้ทำการในอากาศคู่หนึ่งถูกวางเหมือนตั้งใจให้กับผู้ที่จะมาช่วยเหลือได้รู้ว่า พวกเขาซึ่งก็คือเหล่าผู้กล้าทั้งเก้ากำลังเดินเท้ามุ่งไปทางเหนือ ที่พวกเขาคิดว่าเป็นทิศทางสู่ฐานบิน รองเท้านำโชคของทีมค้นหาถูกพบห่างจากจุดตกของเครื่องบินไปทางทิศเหนือ ๑๙ ไมล์ พวกเขาเพิ่มความละเอียดในการค้นหาร่องรอยเพิ่มขึ้นมาอีก สิ่งที่ค้นพบตามมาคือร่องรอยของล้อรถยนต์ขนาดใหญ่ประมาณห้าคัน คาดว่าอายุของร่องรอยนี้น่าจะนับย้อนไปได้ถึงช่วงที่ B-24 ตก ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจเป็นได้ทั้งความพยายามในการค้นหาหรือปฏิบัติการทางทหารในยุคนั้น นอกจากนั้นความตื่นเต้นในการค้นหาได้ยกระดับขึ้นมาอีก เมื่อได้พบเศษซากของอุปกรณ์วิทยุและร่มชูชีพหลายร่มและหนึ่งในนั้นมีหลักฐานที่ระบุว่าผู้เป็นเจ้าของคือ SSgt.Vernon L.Moore เป็นผู้ช่วย เจ้าหน้าที่วิทยุ ลูกเรือทรหดเหล่านี้ได้สร้างหลักฐานเพื่อการติดตามค้นหาไว้โดยการวางก้อนหินบอกทิศทางว่า พวกเขากำลังขึ้นเหนือ ครั้นเมื่อ ๑๗ กรกฎาคม ๑๙๕๙ ทีมค้นหาได้รับกำลังเสริมมาอีกจาก 17th Air Force รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ด้วย พวกเขาได้แกะรอยทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ รวมถึงตามรอยทางรถยนต์ตามสันทรายไปไกลถึง ๕๑ ไมล์ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ที่พอจะเป็นความหวังที่น่าเชื่อถือการปิดฉากการค้นหาที่ไม่ได้อะไรเลยครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๒ กันยายน ๑๙๕๙ เมื่อ C-130 ลงจอดกลางทะเลทรายเพื่อรับทีมค้นหากลับฐานที่ Wheelus AFB. พร้อมข้อสรุปคือ ซากศพของลูกเรือ B-24 : Lady be Good ทั้งเก้าคน น่าจะถูกกลบฝังภายใต้พื้นทรายตามการเปลี่ยนแปลงที่โหดร้าย ซึ่งเป็นธรรมชาติของทะเลทราย โดยเฉพาะที่ซาฮารา
Gone, But not Forgotten
เรื่องบังเอิญโดยไม่คาดฝัน หวังอย่างได้อีกอย่าง เกิดขึ้นเมื่อกุมภาพันธ์ ๑๙๖๐ เมื่อหลังที่ Ripslinger ได้หมดความอดทนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อนหน้านี้ ทีมค้นหาได้ย้อนรอยกลับไปทิศที่พบศพลูกเรือทั้งห้าคนก่อนหน้านี้ พวกเขาสำรวจย้อนกลับไปไกลถึง ๒๖ ไมล์ ครั้นเมื่อ ๑๗ พฤษภาคม ๑๙๖๐ จึงได้พบซากโครงกระดูกศพของ Ripslinger พร้อมกับสมุดบันทึกเล่มเล็กในกระเป๋ากางเกงที่เปื่อยยุ่ยของเขา ทีมค้นหาได้ทุ่มเทหาอีกสองศพที่เหลือคือ Woravka และ Moore แต่ก็ไร้ผล พวกเขาจึงสรุปเหมือนเดิมคือ ลูกเรือที่เหลือยังคงนอนเฝ้าทะเลทรายอยู่เช่นเดิม เนื่องจากการถูกกลบฝังของพายุทะเลทรายที่รุนแรง และประกาศยุติการค้นหา
เรื่องการค้นพบโดยบังเอิญเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสิงหาคม ๑๙๖๐ เจ้าหน้าที่สำรวจของBP ได้ค้นพบศพของ Woravka และแจ้งให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ รับทราบ เจ้าหน้าที่ค้นหาของสหรัฐฯ ระบุได้ทันทีเลยว่า เขาเสียชีวิตจากการกระแทกพื้นที่รุนแรงเนื่องจากร่มไม่กาง ทุกอย่างในตัวเขาอยู่ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์ของชุดผู้ทำการในอากาศที่กำลังกระโดดร่มสละเครื่องบิน จากจุดนี้ทีมสำรวจของสหรัฐฯ ได้ค้นพบจุดรวมพลของลูกเรือทั้งแปดคนที่โดดร่มและรอดจากความตายครั้งที่หนึ่งมาได้ ที่จุดรวมพลนี้ พวกเขาพบซากของอุปกรณ์การจุด Flares เพื่อส่งสัญญานบ่งบอกตำแหน่งให้ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตมาได้มารวมตัวกัน สุดท้ายที่รอแล้วไม่มาและรอไม่ไหวอีกแล้วคือ Woravka ลูกเรือทั้งแปดคนจึงตัดสินใจเดินทางสู่ทิศทางที่พวกเขาคิดว่าจะพากลับฐานบินต่อไป ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากแผนที่แล้ว ถ้าพวกเขาเลือกเดินในทิศทางตรงกันข้ามโดยมุ่งลงทางใต้ พวกเขาอาจพบกับ Kufra Oasis และอาจขอความช่วยเหลือจากพ่อค้าเร่ร่อนชาวอาหรับ ณ ที่นี้ได้ สำหรับศพสุดท้ายคือ Moore ยังไม่สามารถค้นพบ และคงต้องรอความบังเอิญในอนาคตเหมือนเดิน ใน “The Sahara’s Sand Sea of Calanscio”
เพื่อเป็นการรำลึกถึงความกล้าหาญและทนทรหดของพวกเขา กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้นำใบพัดของหนึ่งในสี่เครื่องยนต์ของ B-24 : Lady be Good มาติดตั้งเป็นอนุสรณ์ที่ฐานทัพอากาศ USAF Wheelus, Libya ต่อมาภายหลังกษัตริย์ Idris แห่ง Libya และรัฐบาลลิเบีย ถูกโค่นล้มลง ฐานบินแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนมือและถูกพัฒนาใช้งานจากกองทัพอากาศลิเบีย ภายใต้ร่มเงาของทีมที่ปรึกษาจากโซเวียต
มรดกความเป็น Airmanship ของลูกเรือB-24 : Lady be Good ได้แสดงให้เห็นถึงความมีวินัย การได้รับการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถต่อสู้อย่างที่สุดในสิ่งแวดล้อมที่เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะพึงกระทำได้ หลักความพยายามของพวกเขาในการเอาชีวิตนั้นถูกยึดมั่น จนนาทีสุดท้ายของชีวิตพวกเขา “They died trying” ท่ามกลางความเลวร้ายของทุ่งทะเลทราย การได้มองเห็นเพื่อนต้องร่วงโรยหายไป หรือรู้ว่าต้องตายแน่ ๆ นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นัก ความยิ่งใหญ่ในหัวใจความเป็น Airmanship ของพวกเขาครั้งนั้นได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง“King Nine Will Not Return”