การปฏิวัติในกิจการทหาร : การรับมือการก่อการร้ายบนโลกไซเบอร์

(Revolution in Military Affairs : Handling with Cyber Terrorism)

พันเอก พิศาล อมรรัตนานุภาพ

“UNKNOWN UNKNOWNS :  the ones we don’t know we don’t know”

(เราไม่รู้ว่า เราไม่รู้อะไร)

Secretary of Defense Donald Rumsfeld : February 12, 2002

(นายโดนัลด์ รัมเฟลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ)

 

เมื่อปี ๒๐๐๒ (พ.ศ.๒๕๔๕)  นายโดนัลด์ รัมเฟลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (ในขณะนั้น) ได้ใช้วลีอันเป็นที่โด่งดัง “UNKNOWN UNKNOWNS : เราไม่รู้ว่า เราไม่รู้อะไร” ในการแถลงการณ์หลังจากสหรัฐฯ ถูกกลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ (Al-Qaeda) จี้เครื่องบินของสายการบินสหรัฐฯ และพุ่งเข้าชนสถานที่ที่สำคัญหลายแห่ง (เหตุการณ์ ๙/๑๑) อาทิ สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐและโลก (World Trade Center) ส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นวอลล์สตรีท (Wall Street) หยุดชะงักไปในห้วงเวลาหนึ่ง โดยนายรัมเฟลล์ ได้ระบุว่าความสำเร็จของการก่อเหตุ ๙/๑๑ เกิดจากสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวตกอยู่ในสภาวะที่ ตนเองไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร (อาทิ ขีดความสามารถของกลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ในการก่อเหตุรุนแรงในเขตเมือง) เพื่อเป็นการป้องกันประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมต่อมาในปี ๒๐๐๕ (พ.ศ.๒๕๔๘) รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้เขียนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อใช้ในการวางแผนป้องกันประเทศ และเพื่อเตรียมการสำหรับยุคศตวรรษที่ ๒๑ (National Defence Strategy : NDS) โดยในเอกสารได้เน้นย้ำว่ากระทรวงกลาโหม (ทั้งโลก) จะต้องค้นหา UNKNOWN UNKNOWNS ให้พบและรีบนำมาเปลี่ยนให้เป็น “เรารู้และเข้าใจว่าไม่รู้อะไร” หรือที่เรียกว่า“KNOWN UNKNOWS” โดยนัยยะสำคัญคือการปฏิวัติเทคโนโลยี (Technology Revolution) เพื่อให้มีความพร้อมในการทำสงครามบนโลกดิจิทัลซึ่งเป็นยุคที่มิได้มุ่งเน้นในการทำลายเพื่อให้เกิดการสูญเสียชีวิต หากแต่เป็นการยุทธเพื่อขัดขวางระบบและเครือข่าย “System – Disruptive challenges” โดยมีวัตถุประสงค์ไม่ให้ระบบเครือข่ายดำเนินการได้ตามปกติ ส่วนในเรื่องของเป้าหมายการโจมตี ได้แก่ ระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ๓ ระบบ ได้แก่ การขนส่งพลังงาน การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ลักษณะเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามไซเบอร์เพื่อเป็นการเตรียมการระวังป้องกัน ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุมของ กองบัญชาการไซเบอร์ (USCYBERCOM) จึงได้ออกยุทธศาสตร์การตั้งรับบนแนวหน้า “Defend Forward” ที่มีภารกิจสำคัญบนเครือข่ายไซเบอร์ทั่วโลก ๒ ประการ ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ กล่าวคือ ข้อแรก ในเชิงรุกคือการใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการลาดตระเวน/สอดแนม/หาข่าว (ISR) หรือการจารกรรม “Espionage” โดยสายลับ ข้อสอง ในเชิงรับคือการใช้เพื่อรับมือจากปฏิบัติการขัดขวางระบบโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคม

จากข้อค้นพบที่ได้ศึกษาจากเอกสารทางวิชาการที่เขียนโดย Mazanec & Whyte และ Martin & Weinberg พบว่ามีความเห็นพ้องตรงกับนายโดนัลด์ รัมเฟลล์ ในเรื่องของวิวัฒนาการของสงครามแห่งยุคศตวรรษที่ ๒๑ ที่จะเป็นสงครามบนโลกดิจิทัลซึ่งจะดำเนินกลยุทธผ่านสมรภูมิที่ ๕ เป็นหลัก สงครามบนโลกไซเบอร์ โดยตัวแสดง (actor) บนสมรภูมินี้จะมีหลากหลายที่ประกอบด้วย ตัวแสดงที่เป็นรัฐ ไม่ใช่รัฐ ตัวแทนแห่งรัฐ และผู้ก่อการร้าย (State Actor – Non State Actor – Proxies – Terrorists) ในการสร้างความได้เปรียบจะขึ้นอยู่กับความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยีของแต่ละฝ่าย ซึ่งฝ่ายรัฐจะต้องเข้าใจและยอมรับว่าบนโลกไซเบอร์ทุกตัวแสดงต่างมีความเสมอภาคในการทำสงคราม อันเนื่องมาความง่ายในการเรียนรู้และความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลและเครือข่ายอีกทั้งมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก ในภาพรวมความหมายในเรื่องการปฏิวัติในกิจการทหารในยุคศตวรรษที่ ๒๑ (Revolution in Military Affairs: RMA) หัวใจคือ การเปลี่ยนถ่ายให้องค์กรเป็น “องค์กรดิจิทัล” (Digital Transformation) แต่การลงมือจริงยังคงมีประเด็นที่เป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่สามารถจำแนกเป็น ๒ ประเด็นหลักคือ ข้อแรก การเตรียมความพร้อมของบุคคลากรในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการรับมือและ/หรือตอบโต้ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะขีดความสามารถเชิงรับ อาทิ การใช้การเข้ารหัสแบบสมมาตร (Symmetric Encryption) เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของการเข้ารหัส หรือ การรักษาความลับระหว่างการรับ – ส่งข้อมูล ข้อสอง การเพิ่มประสิทธิภาพของฝ่ายความมั่นคงในการป้องกันทางกายภาพของโครงสร้างสารสนเทศ (Physical Layer) ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบดิจิทัล อาทิ สายเคเบิ้ลไฟเบอร์ออฟติค ระบบและคลื่นสัญญาณโทรศัพท์และดาวเทียม ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงการป้องภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีประสิทธิภาพจะต้องเป็นการประสานสอดคล้องระหว่างความสามารถด้านเทคโนโลยีและความรู้ความเข้าใจควบคู่กันไป คำถามหลักในบทความนี้คือ : กระทรวงกลาโหมไทยและกองทัพไทยได้มีการปฏิวัติในกิจการทหารเพื่อเตรียมตัวในการรับมือภัยจากสงครามไซเบอร์แล้วหรือยัง?

 

“กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ ระบบการขนส่งสาธารณะ

 ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ…

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมาย…เพื่อสร้างความปั่นป่วน

เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย…”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๕/๑ พ.ศ.๒๕๔๖ (ความผิดฐานก่อการร้ายในประเทศไทย)

 

โดยหากจะอ้างถึงกฎหมายข้างต้น พอจะกล่าวได้ว่าผู้ก่อเหตุ/ผู้โจมตีที่มีวัตถุประสงค์ในการทำลายระบบ/เครือข่ายโทรคมนาคมนับว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่ทั้งนี้ในความเป็นจริงชัยชนะแห่งสงครามนั้นขึ้นอยู่กับการทำลายระบบที่สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในแนวหลังของฝ่ายตรงข้าม (System – Disruptive challenges) เนื่องจากมีผลทางจิตวิทยาโดยจะส่งผลด้านความเชื่อมั่นในขีดความสามารถของฝ่ายความมั่นคงซึ่งหากจะกล่าวถึง ยุทธการทำลายระบบ/เครือข่าย นั้นมิได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใดหากแต่เป็นเหล้าใหม่ในขวดเก่า เพราะที่ผ่านมาได้ใช้เป็นเครื่องมือทางทหาร โดยสามารถศึกษาได้จากบทเรียนของสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปี ๑๙๙๐ และ สงครามอิรัก ปี ๒๐๐๓ (พ.ศ.๒๕๓๓ และ ๒๕๔๖) ที่กองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรเลือกที่จะโจมตีแนวหลังของกองทัพอิรักเพื่อทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และระบบควบคุมบังคับบัญชา (C4I) เพื่อส่งผลให้เกิดปัญหาความล้มเหลวต่อระบบการบริหารจัดการและการให้บริการของรัฐ ซึ่งสุดท้ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบจึงไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายตนเองและนำไปสู่การต่อต้านรัฐบาลนายซัดดัมฯ จากบทเรียนของสงครามดังกล่าวฯ ส่งผลให้ทุกฝ่ายตระหนักดีว่าฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องป้องกันไม่ให้ภัยคุกคามส่งผลกระทบต่อแนวหลังอย่างเด็ดขาด โดยหากวิเคราะห์ภัยคุกคามทางไซเบอร์พบว่าทุกตัวแสดง (Actors) ล้วนมีขีดความสามารถในปฏิบัติการเพื่อขัดขวางระบบฯ ทางไซเบอร์ทั้งทางเปิดและทางปิด แต่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปในการก่อเหตุผ่าน ยุทธการทางปิด ซึ่งสามารถจำแนกองค์ประกอบได้ ๓ ประการ คือ ประการแรก : การสร้างเครือข่ายและระดมพลผ่านโลกโซเชียล โดยทำการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นภัย (Abusive Content) หรือการสร้างข่าวปลอม (Faked News) เพื่อให้เกิดความแตกแยกทางสังคมผ่าน (Ways) ความเชื่อแบบสุดโต่งซึ่งรวมไปถึงการสอนวิธีการก่อเหตุรุนแรง โดยจากการศึกษาพบว่ากลุ่มก่อการร้ายไอเอส นับว่าเป็นตัวอย่างที่ควรนำมาศึกษาเพราะได้ประสบความสำเร็จในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อขยายอิทธิพล และใช้ระดมพลกลุ่มผู้สนับสนุนจากต่างประเทศ (Foreign Terrorist Fighters : FTFs) จำนวนมากกว่าร้อยละ ๔๑ ซึ่งมีอายุเฉลี่ย ๒๘ – ๓๑ ปี ที่ได้รับข้อมูลข่าวสารมาจากทางสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ Facebook, Youtube และ Ask.fm เป็นต้น ประการที่สอง : Computer Network Attack (CNA) ในอดีตได้แก่ การจารกรรม “Classic Espionage” ซึ่งเป็นการก่อเหตุโจมตีในแนวหลังโดยฝีมือของสายลับแต่ในยุคปัจจุบันทุกตัวแสดงนั้นได้ปฏิวัติองค์กรและสมาชิกในการเพิ่มขีดความสามารถเพื่อแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่โดยไม่จำเป็นต้องส่งสายลับไปแนวหลังของฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป แต่สามารถปฏิบัติภารกิจด้วยการจารกรรมทางไซเบอร์ (Cyber Espionage) หรือเรียกว่าการแฮ็ก (Hack) เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลส่วนตัว ประการที่สาม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือ การโจมตีที่ออกแบบมาเพื่อขัดขวางการทำงาน “disruptive operations” โดยเป็นการโจมตีไปยังระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ระบบการเงินการธนาคาร รวมถึงระบบงานต่างๆ ของภาครัฐที่ให้บริการประชาชนผ่านช่องโหว่ของเบราว์เซอร์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ของระบบปฏิบัติการ หรือ โจมตีโดยโปรแกรม “มัลแวร์” (Malware)

 

“โครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ :

หมายความว่า คอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานเอกชน

ใช้ในกิจการของตนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ”

มาตรา ๓ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ๒๕๖๒

 

กองทัพไทยในศตวรรษที่ ๒๑ : ฝ่ายความมั่นคงมีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงระบบโทรคมนาคมเป็นอย่างดี จึงได้มีการออกกฎหมายเพื่อเตรียมการป้องกันไว้เป็นเวลาพอสมควร (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๕/๑ พ.ศ.๒๕๔๖ : ความผิดก่อการร้ายในประเทศไทย) โดยเพื่อให้สอดคล้องกับสงครามบนโลกดิจิตัลจึงได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยได้มีการออก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ๒๕๖๒ ซึ่งได้กำหนดให้มี คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ กมช. (National Cyber Security Committee : NCSC) เป็นองค์กรที่กำหนดทิศทางและควบคุมการดำเนินงาน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่ในการดำเนินงานจะมีคณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กกม.)  ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน และมีกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บริหารองค์กรที่เกี่ยวข้องด้านโครงสร้างพื้นฐาน ๖ กลุ่ม โดยรับหน้าที่เป็นผู้ที่กำหนดแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ ซึ่งกลุ่มความมั่นคงและบริการภาครัฐที่สำคัญให้เป็นการกำกับดูแลภายใต้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงกลาโหม เป็นหลัก ทั้งนี้ ใน พ.ร.บ.ไซเบอร์ ปี ๖๒ ฉบับนี้ยังระบุว่าหากเป็นภัยคุกคามระดับ “ร้ายแรง” ขึ้นไป กมช. สามารถมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ/หรือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการโดยมียุทธศาสตร์การป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหม (ปี ๖๐ – ๖๔) และกำหนดให้ไซเบอร์เป็นมิติหนึ่งของสงครามที่ต้องจัดเตรียมกำลังและใช้กำลัง เช่นเดียวกับมิติของการสงครามอื่นๆ และกองบัญชาการกองทัพไทย ได้จัดทำยุทธศาสตร์ทหารด้านสงครามไซเบอร์กองทัพไทย ไว้เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถของกำลังพลทุกกองทัพไทยได้เน้นการฝึกทักษะขีดความสามารถเชิงรับ เช่น ด้านการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานและด้านการเฝ้าระวัง

จากการที่รัฐบาลไทยออกกฎหมาย (พ.ร.บ.ไซเบอร์ ๖๒) อีกทั้งได้ทำการปฏิรูปกองทัพให้มุ่งหน้าสู่ “Digital Transformation” นั้นย่อมเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่บนโลกไซเบอร์ โดยได้มีการสถาปนาหน่วยงานด้านไซเบอร์ อาทิ ศูนย์ไซเบอร์กระทรวงกลาโหม และ หน่วยไซเบอร์ระดับปฏิบัติการของเหล่าทัพ อีกทั้งยังมีกฎหมายรองรับให้การทำงานเป็นไปด้วยความถูกต้องตามมาตรฐานสากลดังนั้น คำตอบ : ของคำถามถามหลักในบทความนี้จึงสามารถระบุได้ว่า : กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยได้มีการปฏิวัติในกิจการทหารเพื่อเตรียมตัวในการรับมือภัยจากสงครามไซเบอร์โดยได้ทำการเปลี่ยนสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ (UNKNOWN UNKNOWNS) มาเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้ (KNOWN UNKNOWNS) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

Reference

Fridman, O 2018, Russia ‘Hybrid Warfare’: Resurgence and Politicisation, Hurst& Company, London

 

Martin, S & Weinberg, L 2017, The Role of Terrorism in Twenty-First-Century Warfare, Manchester University Press, Manchester

 

Mazanec, B & Whyte, C 2019, Understanding Cyber Warfare: Politics, Policy and Strategy, Routledge, New York

 

Mulliins, S 2016, ‘Home-Grown’ Jihad: Understanding Islamist Terrorism in the US and UK, Imperial College Press, London

 

Pomerleau M 2019, Here’s how Cyber Command is using ‘defend forward’, 12th November,CyberCon, viewed 4th June 2020<https://www.fifthdomain.com/smr/cybercon/2019/11/12/heres-how-cyber-command-is-using-defend-forward/>

 

พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ 2562 (2019), 27th May, viewed 29th May 2020 <http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/069/T_0020.PDF>

 

นายโดนัลด์ รัมเฟลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (ปี ๒๐๐๑ – ๒๐๐๖)

 

(อดีต) การจารกรรมข้อมูลโดยสายลับ “Espionage” (ภาพยนตร์ Mission Impossible)

 

(ปัจจุบัน) การจารกรรมข้อมูลโดยสายลับ “Espionage”